ปี พ.ศ. 2552 ผู้เขียน “เปลี่ยนงานอดิเรกเป็นงานวิจัย” ได้ศึกษาโครงการวิจัยสารสกัดจากพืชกลุ่มคลับมอส เริ่มจาก ช้องนางคลี่ และมีผลงานตีพิมพ์ครั้งแรกปี พ.ศ. 2555 เป็นการรายงานการค้นพบสารกลุ่มหนึ่งกับการแสดงฤทธิ์ทางชีวภาพ ต่อมา ในปี พ.ศ. 2556 ก็ได้รับเกียรติอย่างสูงจากอาจารย์ ม.ล.จารุพันธ์ ทองแถม ชักชวนให้เข้าร่วมโครงการ การวิจัยเพื่อสำรวจรวบรวมและขยายพันธุ์เฟินและพืชใกล้ชิด ภายใต้มูลนิธิโครงการหลวง นั้นคือจุดเริ่มต้นของหนังสือ “ตำรับเฟิร์น” โดยผ่านการอธิบายให้ผู้อ่านเห็นถึงความหลากหลายของเฟิร์นและพืชใกล้ชิด (Pteridophytes) และประโยชน์ทางยา โดยยกตัวอย่างการใช้เฟิร์นเป็นอาหาร ยา และเครื่องใช้ในวิถีชีวิตชุมชน พร้อมเชื่อมโยงภูมิปัญญาโบราณ การใช้เฟิร์นในตำรับยาโบราณของอินเดีย (Ayurveda) จีน (Traditional Chinese Medicine) และการแพทย์แผนไทย ร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบัน สะท้อนความสำคัญของการสืบทอดองค์ความรู้จากรุ่นสู่รุ่น ในตอนท้ายของหนังสือ ชี้ให้เห็นว่าความรู้เรื่องเฟิร์นสมุนไพรในไทยยังมีน้อย และจำเป็นต้องศึกษาเชิงลึก เพื่อให้คนไทยทั่วไปรู้จักคุณค่าและเห็นประโยชน์จากความหลากหลายของเฟิร์นและพืชใกล้ชิด

บทส่งท้าย

จากมุมมองของคนบ้าเฟิร์น ถ่ายทอดเส้นทางชีวิตของผู้เขียนที่เติบโตห่างไกลจากเฟิร์น แต่ด้วยการเรียนรู้และทำงานด้านเคมีอินทรีย์และพฤกษเคมี ทำให้เริ่มเข้าใจคุณค่าของสมุนไพรไทยและพืชธรรมชาติ จนเมื่อมีครอบครัวและเริ่มจัดสวน จึงได้สัมผัสเสน่ห์ของเฟิร์นจากรูปลักษณ์ใบและการขดม้วนของใบอ่อนที่น่าฉงนใจ จุดเปลี่ยนสำคัญคือการได้รับหนังสือ FERNS จาก ม.ล.จารุพันธ์ ทองแถม ซึ่งปลุกความสนใจและความหลงใหลในเฟิร์นให้เบ่งบาน นำไปสู่การค้นคว้าและศึกษาเชิงลึกถึงสมุนไพรจีนที่มีสารออกฤทธิ์ เช่น ฮูเปอซีน เอ จากคลับมอส และการตระหนักว่าเฟิร์นสายพันธุ์ในไทยยังไม่ถูกศึกษาอย่างจริงจัง จึงกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้เขียนเดินทางสู่โลกของเฟิร์นทั้งในมิติวิทยาศาสตร์และความรักส่วนตัวต่อธรรมชาติ

ในบทส่งท้ายมีคำถามว่า ไม้ดอกมีเยอะแยะทำไมไปสนใจไม้ใบ? สะท้อนมุมมองของผู้เขียนที่เลือกศึกษาเฟิร์นไม่ใช่เพราะความงามภายนอก แต่เพราะศักยภาพทางเคมีที่ยังไม่ถูกค้นคว้าในประเทศไทย แม้เฟิร์นจะไม่ใช่พืชเศรษฐกิจและไม่ปรากฏในตำรับยาไทยมากนัก แต่กลับมีคุณค่าในตำรับยาจีนและต่างประเทศ งานวิจัยที่ทำต่อเนื่องกว่า 10 ปี ได้สกัดและทดสอบเฟิร์นกว่า 100 ชนิด พบสารสำคัญ เช่น ฮูเปอซีน เอ, เอเมนโทฟลาโวน และแมงจิเฟอรีน ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ และช่วยรักษาโรคกระดูกหรือความจำเสื่อม พร้อมต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ยาและเครื่องสำอาง สิ่งเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าเฟิร์นไม่ใช่เพียงเป็นไม้ประดับ แต่เป็น “ของขวัญจากบรรพกาล” ที่รอการเปิดเผยคุณค่าและศักยภาพทางเศรษฐกิจและการแพทย์

ผู้เขียนหวังว่าหนังสือ “ตำรับเฟิร์น”  (Medicinal Ferns) จะเปลี่ยนมุมมองของสังคมให้เห็นความสำคัญของเฟิร์นในฐานะพืชที่สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตมนุษย์ได้อย่างแท้จริง ปิดท้ายด้วยแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจเฟิร์นและพืชใกล้ชิด ผ่านการสะท้อนให้เห็นความสำคัญของการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ชี้ให้เห็นโอกาสในการพัฒนาเฟิร์นสมุนไพรสู่เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมยาผ่านการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะช่วยยกระดับภูมิปัญญาท้องถิ่นให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล

 

Tags: , ,