Post Tagged with: "ตำรับเฟิร์น"
-
16 กูดงอแง Lygodium japonicum (Thunb.) Swartz.
บทที่ 16 กูดงอแง ย่านลิเภาจีน (Lygodium japonicum) เป็นเฟิร์นเลื้อยที่มีเหง้าขนาดเล็กและก้านใบยาว สามารถทอดเลื้อยพาดพันต้นไม้อื่นได้ไกล ใบประกอบแบบขนนกสองชั้นและมีอับสปอร์เกิดตามขอบใบย่อย พบกระจายพันธุ์กว้างในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนของเอเชีย ตั้งแต่จีน ไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น อินเดีย เนปาล จนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และหมู่เกาะแปซิฟิก ย่านลิเภาจีนมีความสวยงามจึงนิยมปลูกเป็นไม้กระถางแขวนประดับ อีกทั้งในจีนยังถูกใช้เป็นสมุนไพรชื่อ 金沙藤 และบันทึกอยู่ในสารานุกรมทางยาของจีน (Pharmacopoeia of The People’s Republic of China) แม้ยังไม่มีข้อมูลด้านองค์ประกอบทางเคมี แต่การใช้ประโยชน์ทั้งเชิงประดับและสมุนไพรสะท้อนถึงคุณค่าที่ควรศึกษาและอนุรักษ์ต่อไป
-
15 ลิเภา ย่านลิเภา Lygodium flexuosum (L.) Sw.
บทที่ 15 ลิเภา ย่านลิเภา (Lygodium flexuosum) เป็นเฟิร์นเลื้อยที่มีเถายาวเหนียวทนทาน ใช้ทำเชือกและงานจักสานหัตถกรรมพื้นบ้าน โดยเฉพาะในภาคใต้ของไทย อีกทั้งยอดอ่อนยังรับประทานได้และทั้งต้นถูกใช้ในตำรายาไทยเป็นสมุนไพรแก้พิษฝีภายใน–ภายนอก ขับปัสสาวะ รักษาโรคทางเดินปัสสาวะและนิ่วในไต งานวิจัยพบว่าสารสกัดจากต้นมีฤทธิ์ทำให้สัตว์ทดลองแท้ง สารสกัดจากใบมีฤทธิ์ต้านจุลชีพ และมีรายงานฤทธิ์ยับยั้งการเจริญพันธุ์ ด้านองค์ประกอบทางเคมีพบสารสำคัญหลายกลุ่ม เช่น ฟลาโวนอยด์ กลูโคไซด์ (kaempferol derivatives), ควิโนน (tectoquinone), สเตียรอยด์ (3-sitosterol, stigmasterol), ไตรเทอร์ปีนอยด์ และไพโรน ซึ่งสะท้อนถึงคุณค่าทางสมุนไพรและการใช้ประโยชน์ที่หลากหลายของเฟิร์นชนิดนี้ ทั้งในเชิงภูมิปัญญาท้องถิ่นและการศึกษาทางวิทยาศาสตร์
-
14 สมุนไพรจากเฟิร์นกลุ่ม Leptosporangiate Fern
บทที่ 14 สมุนไพรจากเฟิร์นกลุ่ม Leptosporangiate fern กล่าวถึงเฟิร์นแท้กลุ่มใหญ่ที่สุดที่มีความหลากหลายสูงสุดในปัจจุบัน โดยตามการจัดอนุกรมวิธานของ PPG1 (ค.ศ. 2016) มีมากถึง 44 วงศ์ รวมพันธุ์เฟิร์นหลายพันชนิด เช่น Pteridaceae, Polypodiaceae, Dryopteridaceae และ Thelypteridaceae ซึ่งเป็นกลุ่มที่พบมากในประเทศไทยและทั่วโลก แม้การศึกษาคุณสมบัติทางเภสัชวิทยายังมีข้อมูลจำกัด แต่มีรายงานการค้นพบสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพในบางวงศ์ที่สะท้อนศักยภาพการใช้เป็นสมุนไพรและผลิตภัณฑ์สุขภาพ เฟิร์นกลุ่มนี้จึงเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญและควรได้รับการศึกษาเชิงลึกเพื่อพัฒนาต่อยอดทั้งด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์
-
13 เฟิร์นกีบแรด (Mule’s Foot Fern, Giant Fern) Angiopteris evecta (G.Forst.) Hoffm.
บทที่ 13 เฟิร์นกีบแรด (Angiopteris evecta) เป็นเฟิร์นขนาดใหญ่ในวงศ์ Marattiaceae ที่มีเหง้าใต้ดินและใบประกอบแบบขนนกสองชั้นยาวได้หลายเมตร ลักษณะโคนต้นพองคล้ายกีบเท้าแรดจึงเป็นที่มาของชื่อ พบกระจายพันธุ์ในเขตร้อนชื้นของเอเชียและออสเตรเลีย โดยในประเทศไทยพบทั่วไปตามป่าดิบเขาที่มีความชื้นสูง หมอพื้นบ้านใช้เหง้าและรากเป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงกำลัง รักษาโรคมะเร็ง โรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน และอาการไข้ รวมถึงใช้เป็นยาห้ามเลือดและแก้ไอ ด้านการวิจัยพบว่าสารสกัดจากเหง้ามีฤทธิ์ต้านมะเร็งและเชื้อ HIV แม้ฤทธิ์ไม่แรงนัก และยังมีรายงานการทดลองต่อการงอกของเส้นขน องค์ประกอบทางเคมีสำคัญ ได้แก่สารกลุ่มเลคโตน เช่น Angiopteroside, Osmundalactone และสารสเตียรอยด์ Stigmast-5-en-3-β-ol […]
-
12 หญ้าเงือก หญ้าหูหนวก (Horsetail Fern) Equisetum ramosissimum var. huegelii (Milde) Christenh. & Husby
บทที่ 12 หญ้าเงือก หรือหญ้าหูหนวก (Equisetum ramosissimum var. huegelii) เป็นเฟิร์นโบราณในวงศ์ Equisetaceae ที่พบทั่วไปในเขตร้อนและอบอุ่นของเอเชีย รวมถึงทุกภูมิภาคของประเทศไทย โดยมีลำต้นเดี่ยวสีเขียวสูงกว่า 1 เมตร มีร่องตามแนวยาวและสืบพันธุ์ด้วยสปอร์ที่ปลายลำต้น หญ้าเงือกถูกใช้เป็นสมุนไพรพื้นบ้านมายาวนาน ทั้งต้นมีสรรพคุณขับปัสสาวะ ขับนิ่ว บำรุงไต รักษาบาดแผล แก้ปวดข้อและกระดูก รวมถึงช่วยเจริญอาหารและรักษาโรคเกาต์ อีกทั้งยังมีองค์ประกอบของ Biosilica ที่ช่วยเสริมความแข็งแรงของเส้นผมและหนังศีรษะ จึงถูกพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผม ด้านองค์ประกอบทางเคมีพบสารสำคัญหลายกลุ่ม เช่น Megastigmanes, […]
-
11 หญ้าถอดบ้อง แส้หางม้า (Horsetail Fern) Equisetum hyemale L.
บทที่ 11 หญ้าถอดบ้อง แส้หางม้า (Equisetum hyemale) เป็นเฟิร์นโบราณที่มีลำต้นเดี่ยวเป็นข้อปล้องชัดเจนและใบเล็กเรียงเป็นวง พบในเขตอบอุ่นถึงหนาวของซีกโลกเหนือ เช่น จีน ญี่ปุ่น รัสเซีย และยุโรป แต่ไม่พบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หญ้าถอดบ้องได้รับความนิยมปลูกเป็นไม้ประดับเพราะรูปทรงสวยงาม และยังมีคุณค่าทางสมุนไพร โดยน้ำยาทิงเจอร์จากพืชชนิดนี้ถูกใช้ในศาสตร์โฮมิโอพาธีย์เพื่อรักษาอาการทางระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะเล็ด ปวดกระเพาะปัสสาวะ รวมถึงอาการปวดหัว คอ หลัง และความผิดปกติของตาและหู อีกทั้งยังเป็นแหล่งของสารประกอบซิลิกาคุณภาพดีที่ใช้ในอุตสาหกรรม ด้านองค์ประกอบทางเคมีพบสารสำคัญหลายชนิด เช่น ฟลาโวนอยด์กลูโคไซด์ (quercetin, kaempferol […]
-
10 หวายทะนอย (Whisk Fern, Skeleton Fork Fern) Psilotum nudum (L.) P.Beauv.
บทที่ 10 หวายทะนอย (Psilotum nudum) นำเสนอพืชโบราณในวงศ์ Psilotaceae ที่ยังคงหลงเหลืออยู่เพียง 2 ชนิดทั่วโลก โดยพบในประเทศไทยทั้งหวายทะนอยและหวายทะนอยใบแบน มีลำต้นสีเขียวสดตั้งตรง ลักษณะตัดขวางเป็นสามเหลี่ยมหรือสี่เหลี่ยมแบน จัดเป็นเฟิร์นดินและอิงอาศัยที่สามารถพบได้ตั้งแต่ป่าธรรมชาติไปจนถึงกระถางต้นไม้ในเมือง แม้ปัจจุบันถือเป็นพืชหายาก แต่มีการใช้ประโยชน์ทางสมุนไพร เช่น รักษาอาการท้องผูก ปัญหาระบบหายใจ และสมานแผลเมื่อผสมกับขมิ้น ด้านองค์ประกอบทางเคมีพบสารสำคัญหลายชนิด เช่น เอแมนโทฟลาโวน (Amentoflavone) ไบฟลาโวนอยด์ ฟลาโวนกลูโคไซด์ และฟีนอลิกกลูโคไซด์ psilotin ซึ่งมีคุณสมบัติทางเภสัชวิทยาใกล้เคียงกับพืชกนกนารี ทำให้หวายทะนอยเป็นพืชโบราณที่ยังคงมีคุณค่าและศักยภาพต่อการศึกษาวิจัยทางยา
-
9 เฟิร์นลิ้นงู (Stalked Adder’s Tongue Fern) Ophioglossum petiolatum Hook.
บทที่ 9 เฟิร์นลิ้นงู (Ophioglossum petiolatum) เป็นเฟิร์นดินที่มีลักษณะเด่นคือก้านใบชูแท่งสร้างอับสปอร์สีเหลืองเรียงตัวคล้ายลิ้นงู พบกระจายพันธุ์กว้างในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน รวมถึงหลายพื้นที่ในประเทศไทย ตั้งแต่ภาคเหนือจนถึงภาคใต้ เฟิร์นชนิดนี้ถูกใช้เป็นสมุนไพรในจีนและไต้หวัน โดยนำใบไปทำครีมรักษาโรคผิวหนังอักเสบ ใช้ขับพิษ ถอนพิษงูกัด และมีรายงานสรรพคุณต่อโรคไวรัสตับอักเสบ อีกทั้งยังมีความสับสนกับ “หญ้าลิ้นงู” ซึ่งเป็นพืชต่างวงศ์ที่ใช้เป็นยาเย็นและมีสาร ursolic acid ปกป้องตับ ด้านองค์ประกอบทางเคมี เฟิร์นลิ้นงูมีสารสำคัญหลายชนิด เช่น โฮโมฟลาโวนอยด์ ฟลาโวนอยด์ และกรดไขมัน thermalic acids โดยเฉพาะสาร ophioglonin […]
-
8 สมุนไพรจากเฟิร์นกลุ่ม Eusporangiate Fern
บทที่ 8 เฟิร์นแท้กลุ่ม Eusporangiate fern อธิบายถึงความหลากหลายของเฟิร์นในประเทศไทยที่มีรายงานมากถึง 670 ชนิด โดยเฟิร์นกลุ่มนี้มีลักษณะเด่นคืออับสปอร์พัฒนาจากหลายเซลล์ ผนังหนาหลายชั้นและสร้างสปอร์จำนวนมาก แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มย่อย ได้แก่ เฟิร์นลิ้นงูหรือตีนนกยูง (Ophioglossoid fern) ที่พบในไทย 7 ชนิด เช่น Ophioglossum และ Helminthostachys, กลุ่มหวายทะนอย (Whisk fern) ที่พบ 2 ชนิดในสกุล […]
-
7 ดอกหิน (Spike Moss) Selaginella tamariscina (Beauv.) Spring
บทที่ 7 ดอกหิน (Spike Moss – Selaginella tamariscina) นำเสนอพืชคล้ายเฟิร์นที่มีลักษณะพิเศษคือสามารถพักตัวและฟื้นคืนชีพได้ในฤดูแล้ง จึงถูกขนานนามว่า “เฟิร์นที่ฟื้นคืนชีพ” พบกระจายพันธุ์ในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทยที่มีรายงานพบที่ดอยเชียงดาว จ.เชียงใหม่ แต่เนื่องจากถูกนำออกจากถิ่นอาศัยเพื่อใช้เป็นไม้ประดับและสมุนไพร ทำให้จัดเป็นพืชหายากและมีแนวโน้มเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ในไทย ด้านคุณค่าทางสมุนไพร ดอกหินมีสารสำคัญคือ เอแมนโทฟลาโวน (Amentoflavone) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ และช่วยคลายหลอดเลือด จึงถูกใช้เป็นอาหารเสริมและมีการศึกษาวิจัยเปรียบเทียบพบว่ามีปริมาณสารสูงกว่ากนกนารีชนิดอื่น ๆ อีกทั้งยังมีการค้นพบสารกลุ่ม ซีลาจีเนลลิน (Selaginellin) ที่มีศักยภาพต่อการรักษาโรคเบาหวาน ทำให้ดอกหินเป็นพืชที่มีคุณค่าทางเภสัชวิทยาและควรได้รับการอนุรักษ์ควบคู่ไปกับการศึกษาต่อยอด
